เรียนรู้ ปรับตัว ก้าวทัน 6 เทรนด์ การทำงานในยุคดิจิทัล

เรียนรู้ ปรับตัว ก้าวทัน 6 เทรนด์ การทำงานในยุคดิจิทัล

<เรียนรู้ ปรับตัว ก้าวทัน 6 เทรนด์ การทำงานในยุคดิจิทัล

          ยุคไทยแลนด์ 4.0 มาถึงแล้ว นาทีนี้เราคงไม่อาจปฏิเสธบทบาทของเทคโนโลยีที่เข้ามามีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตในทุกด้าน โดยเฉพาะการทำงานในยุคปัจจุบัน ที่กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ในรูปแบบที่กลายเป็นดิจิทัลมากขึ้น ข้อมูลต่างๆ ต้องเชื่อมโยงถึงกันได้ทุกที่ ทุกเวลา ส่งผลให้การทำงานของเราไม่จำกัดอยู่แต่ภายในออฟฟิศดังที่เคยเป็นมา โดยมีเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวช่วยในการทำงานเกือบทุกขั้นตอน และช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา โดยมี 6 แนวโน้มสำคัญของการทำงานในอนาคตที่จะพลิกโฉมหน้า และปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของเรา ให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ดังนี้

          1. ทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา บนสมาร์ตโฟน และอุปกรณ์พกพา
             
เครื่องคอมพิวเตอร์ PC กำลังจะกลายเป็นอุปกรณ์ล้าสมัยภายในออฟฟิศ เพราะตั้งแต่ ค.ศ. 2015 เป็นต้นมา คนทำงานจำนวนมากใช้สมาร์ตโฟน หรือแท็บเล็ตในการทำงานมากขึ้น ส่งผลให้สมาร์ตโฟนมีอัตราการเติบโตในการใช้งานมากกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ PC คนทำงานเริ่มหันมาใช้อุปกรณ์ที่สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้ เพื่อความคล่องตัวในการทำงานมากขึ้น และรูปแบบการทำงานดังที่ว่ามานี้กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าของการทำงานในอนาคต ด้วยคุณสมบัติของสมาร์ตโฟนในปัจจุบันที่มีความครบครันพอ ๆ กับเครื่องคอมพิวเตอร์ PC แถมในอนาคตอันใกล้ บริษัทและองค์กรต่างๆ จึงมีแนวโน้มจะหันมาใช้อุปกรณ์ที่ให้พนักงานพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวกในการทำงาน เพื่อลดต้นทุนด้านไอทีขององค์กรอีกด้วย


          2. โลกาภิวัตน์ช่วยเชื่อมต่อโลกของธุรกิจแบบไม่มีขีดจำกัด
              
โลกาภิวัตน์ช่วยย่อโลกให้เล็กลง พร้อมเชื่อมโยงถึงกันได้ง่ายมากขึ้นกว่าแต่ก่อน แม้จะอยู่ห่างไกลกันคนละมุมโลกก็ตาม ในยุคที่ผู้คนสามารถติดต่อสื่อสารกันได้รวดเร็ว โลกของธุรกิจก็สามารถขยายกิจกรรม และการดำเนินงานต่างๆ ได้อย่างไร้ขีดจำกัดเช่นกัน การทำธุรกิจจึงก้าวสู่ยุคอีคอมเมิร์ซอย่างเต็มตัว และแพร่หลายไปทั่วโลก ซึ่งการที่องค์กรจะก้าวสู่การเป็นอีคอมเมิร์ซได้ก็ต้องอาศัยเทคโนโลยี และเครื่องมือในการทำงานที่มีประสิทธิภาพ สามารถขจัดปัญหาด้านระยะทาง และเชื่อมต่อทุกฟังก์ชั่นทางธุรกิจเข้าด้วยกันได้ พร้อมทั้งช่วยให้ทีมงานที่อยู่กระจัดกระจายกันหลายประเทศทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยมีเทคโนโลยีเป็นตัวช่วยอำนวยความสะดวก


          3. “คลาวด์” คือหัวใจของการทำงานร่วมกัน
              
ระบบการประมวลผล และการจัดเก็บข้อมูลบนฐานข้อมูลออนไลน์ ในรูปแบบ “คลาวด์จะเข้ามามีบทบาทในการเป็นศูนย์กลางของการทำงานร่วมกัน ช่วยให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลในการทำงาน ทั้งในส่วนขององค์กรที่สามารถเฝ้าดูการทำงานจากระยะไกล และในส่วนของทีมงานที่สามารถโต้ตอบกันได้ด้วยการทำงานร่วมกันผ่านทางวิดีโอ ช่วยลดปัญหาด้านต้นทุนและระยะเวลาในการเดินทางไปประชุมร่วมกันได้อย่างมาก นอกจากนี้คลาวด์ยังเข้ามาเพิ่มศักยภาพในการประมวลและวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลได้แบบ Real-time ช่วยให้องค์กรสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้เพื่อพัฒนาธุรกิจได้รวดเร็ว ค้นหาข้อมูลต่างๆ ได้ทันใจ และมีความหลากหลายของข้อมูลมากขึ้น


          4. การทำงานร่วมกับอุปกรณ์อัจฉริยะ
              
ยุค 4.0 เป็นยุคที่กำลังจะเปลี่ยนให้อุปกรณ์ธรรมดาๆ รอบตัวของเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ด้วยเทคโนโลยี Internet of Thing (IOT) ที่จะช่วยยกระดับอุปกรณ์ต่างๆ ให้มีความเป็นอัจฉริยะมากขึ้น กลายเป็นสิ่งที่สามารถเก็บข้อมูล โต้ตอบ หรือช่วยให้เราดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งได้โดยอัตโนมัติ ตามคำสั่งที่มีการตั้งโปรแกรมเอาไว้ ทำให้ลักษณะการทำงานในอนาคตจะลดการพึ่งพาแรงงานจากมนุษย์ลงได้อย่างมาก และคนทำงานจะต้องปรับบทบาทมาเป็นผู้ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์อัจฉริยะเหล่านี้ทดแทนการใช้แรงงานเพียงอย่างเดียว


          5. ประโยชน์มหาศาลจากแหล่งข้อมูล
Big Data
              
ข้อมูลทุกสิ่งทุกอย่างขององค์กร เป็นข้อมูลขนาดใหญ่ ที่เรียกว่า Big Data ซึ่งทั้งหมดเป็นข้อมูลดิบที่สามารถนำมาวิเคราะห์และบริหารจัดการให้เป็นระบบได้ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ช่วยให้องค์กร และคนทำงานสามารถดึงข้อมูลมาใช้ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ ทั้งข้อมูลภายในองค์กร ข้อมูลจากโซเชียลเน็ตเวิร์ค วิดีโอ และภาพบนฐานข้อมูลออนไลน์ ซึ่งแหล่งข้อมูลทั้งหลายเหล่านั้น สามารถเรียนรู้เกี่ยวกับลูกค้า บอกความต้องการของลูกค้าได้ เพื่อใช้แหล่งข้อมูล Big data นี้ให้ประโยชน์ทั้งในด้านการวางแผนธุรกิจ การวิเคราะห์ลูกค้า และการคาดการณ์แนวโน้มต่างๆ และส่งต่อแต่สิ่งที่ลูกค้าต้องการจริงๆ เท่านั้น


          6. มีซอฟต์แวร์เพื่อการทำงานที่ยืดหยุ่นและคล่องตัว
              
การดำเนินงานขององค์กรยุคใหม่ต้องมีความยืดหยุ่น และคล่องตัวมากขึ้นกว่าเดิม โดยเน้นให้คนทำงานทุกคนสามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงานร่วมกันได้ การพัฒนาซอฟต์แวร์และโปรแกรมต่างๆ เพื่อการทำงานในองค์กรจึงต้องเปิดกว้างสำหรับบุคลากรทุกระดับมากขึ้น เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและความยืดหยุ่นในระบบและกระบวนการทำงาน ผลักดันให้เกิดการมีส่วนร่วมภายในองค์กรอย่างแท้จริง เพิ่มศักยภาพของคน และเพิ่มประสิทธิผลของความสำเร็จ

          แนวโน้มการทำงานในยุคดิจิทัลเป็นสิ่งที่คนทำงานทุกคนไม่อาจมองข้าม ต้องมีการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ปรับตัว และเปลี่ยนวิธีการทำงานให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ เพราะเทคโนโลยีสามารถช่วยให้การทำงานยุคใหม่ มีความสะดวก รวดเร็ว เชื่อมโยงถึงกันได้มากขึ้น และเพิ่มโอกาสในความสำเร็จมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับคนทำงานอย่างเราๆ นี้เองว่าจะสามารถดึงศักยภาพของตัวเรา ผสมผสานกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ให้เกิดผลดีต่อการทำงานและองค์กรได้มากน้อยเพียงใด เรียนรู้สิ่งใหม่ไม่หยุดนิ่ง แล้วประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด การทำงานในอนาคตย่อม work และ win ได้อย่างแน่นอน

 14103
ผู้เข้าชม

สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์