< 10 วิธีการรับมือ หรือแข่งขันกับแบรนด์ใหญ่
เนื่องจาก วันก่อนไปเห็นกระทู้พันทิป ตั้งขึ้นมาว่า “ถ้าร้านกาแฟคุณที่เปิดมา 5 ปี เจอ Amazon มาเปิดใกล้ ๆ จะนับมืออย่างไร” ตรงนับมือ ผมไม่ได้พิมพ์ผิดนะครับ แต่คาดว่าเจ้าของกระทู้พลาดแล้วพันทิปไม่ได้เปิดให้แก้ไข (โดยระบบ) ซึ่งคงตั้งใจเขียนว่า “รับมือ” อย่างไร เรื่องนี้น่าคิดมากสำหรับคนทำธุรกิจเล็ก ๆ หรือ SME เพราะยากที่จะมีสินค้าอะไรที่แบรนด์ใหญ่ไม่มี หรือไม่ตามมาในอนาคต
จากกระทู้ดังกล่าวก็เลยไปคิดสรุปมาแบ่งปันเรื่องนี้ ว่าถ้าต้องเจอกับแบรนด์ใหญ่ ควรทำอย่างไรดี จะมีกลยุทธ์การตลาด แนวทาง วิธีการจัดการอย่างไร ซึ่งคงต้องชี้แจงว่า เป็นแนวคิดโดยรวมที่ผมสรุปมา บางธุรกิจอาจไม่เข้าข่าย เช่น เป็นโรงงานผลิตชิ้นส่วน ธุรกิจจำเพาะบางอย่าง start up ทำนองนี้ ที่อาจเอาไปใช้โดยตรงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ที่สุดก็ควรนำไปประยุกต์ปรับใช้ เพราะไม่มีตำราอะไรที่ตายตัว
10 วิธีการรับมือ หรือแข่งขันกับแบรนด์ใหญ่
เช่น ว่ากันง่าย ๆ ร้านกาแฟ Amazon นั้น กลยุทธ์ไม่ต่างจากร้านสะดวกซื้อ กล่าวคือ ทำเลเน้นจุดแวะพักมาก่อน ผลิตภัณฑ์รูปแบบเป็นไปในทางสะดวก กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ (Product) ไม่จำเป็นต้องหมายถึงเฉพาะสินค้าตัวเดียว แต่ควรจะเป็นภาพรวมผลิตภัณฑ์ ความแตกต่างจะยกตัวอย่างง่าย ๆ คือ Amazon อาจไม่มีเค้ก, ไม่มีบิงซู, ไม่มีกล้วยทอด, ไม่มีอาหาร อีกหลายอย่างที่เราสามารถทำได้ และเป็นร้านกาแฟที่เหนือกว่าด้วยสินค้าต่าง ๆ เช่นนี้ก็จะแตกต่างอย่างไม่ต้องสงสัย แน่นอนว่า Core Product หรือสินค้าหลักอย่างกาแฟ ต้องไม่แย่ไปกว่าเขาล่ะครับ
เช่นว่า เดิมทีนั้นร้านโชว์ห่วย ส่วนใหญ่ไม่มีแอร์ ไม่มีการจัดวางให้เป็นระเบียบ พื้นฐานแบบนี้มันก็แตกต่าง ย่อมแพ้เซเว่น ถ้าย้อนมองไปจริง ๆ เซเว่นไม่ได้แข็งแกร่งมากมายในยุคแรก หากเทียบกันในซอย ทว่าเมื่อเขายิ่งโต แคมเปญโปรโมชั่นดี ๆ ออกมา สุดท้ายมันกลายเป็นพฤติกรรมที่เคยชิน สมัยผมเล็ก ๆ เราจะรู้จักว่า ป้าอะไร เจ๊อะไร ขายอะไร สมัยนี้เด็ก ๆ มีแต่ร้องไปเซเว่น
สิ่งนี้บ่งบอกว่าหากมีการปรับตัวตามแต่แรก ๆ ได้ มันก็ไม่แน่ที่แต่ละพื้นที่จะไม่มีร้านมินิมาร์ทอื่น ๆ เลยนอกจากแบรนด์ใหญ่
กรณีเป็นร้านกาแฟยิ่งง่ายกว่า เพียงแต่ว่ากลยุทธ์ที่ไม่แตกต่างนี้ คือการทำได้ทัดเทียม สุดท้ายก็หาช่องทางนำหน้าไปให้แตกต่างอยู่ดี คิดไม่ออกลองดูจีน เกาหลี เดิมทีถูกตราหน้าว่าจอมก๊อปปี้ ทุกวันนี้กลายเป็นเจ้านวัตกรรม
นักการเมืองที่ขยันไปงานศพยังได้ฐานเสียง แล้วธุรกิจล่ะ ขยันสานสัมพันธ์ทำไมจะไม่ได้ลูกค้า
แม้แต่การสนับสนุนต่าง ๆ การใช้วัตถุดิบ หรืออื่น ๆ ของท้องถิ่น ไม่เว้นแม่แต่ฐานะ ที่ว่า โทษฐานที่รู้จักกัน นั่นก็ใช่
ลองคิดดูเล่น ๆ นักการเมืองที่ขยันไปงานศพยังได้ฐานเสียง แล้วธุรกิจล่ะ ขยันสานสัมพันธ์ทำไมจะไม่ได้ลูกค้า ไม่ได้ตั้งจะแซะนะครับ แค่อยากให้เห็นว่าสิ่งหนึ่งที่สำคัญ คือ ความกันเองของคนไทย แบรนด์ใหญ่ยากที่จะได้ตรงนี้
อีกอย่างก็คล้ายที่เขาว่าแบรนด์ที่ดีต้องมี History หรือเรื่องราว สิ่งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่ามีหรือไม่ กาแฟโบราณ ที่จริง ๆ ไม่ได้โบราณอะไรยุคใหม่เอาไปเป็นกาแฟดริป แต่นั้นล่ะ คำว่าโบราณมันก็กลายเป็นคำที่ขายได้ การทำร้านกาแฟให้ดูเก่า คลาสสิค ก็เป็นอะไรที่ร้านอย่าง Amazon จะทำตามใจไม่ได้ แม้แต่จะตบแต่งแนวอื่นก็ตามที่ไม่จำเพาะว่าต้องเก่า หรือเรื่องราวเชิงนั้นเสมอไป
ประสบการณ์ในที่นี้จึงทำได้หลายแบบ จะแต่งเป็นญี่ปุ่น มีสาวเสิร์ฟใส่ชุดแม่บ้าน แต่งเป็นร้านจักรยาน หรือเห็นมากมาย ก็ร้านที่มีสุนัข แมว ต่าง ๆ นา ๆ เรื่องนี้คิดแตกออกไปได้มากมาย ไอเดียใคร ไอเดียมัน เรื่องนี้จะบอกว่ามันเป็นเรื่องการสร้างความรู้สึกก็ว่าได้ ที่แน่ ๆ หลาย ๆ ประสบการณ์นั้นแบรนด์ใหญ่ไม่สามารถให้ได้เลย..
รวมถึงการเอาใจลูกค้าอย่างเช่น การตามเทรนบางอย่าง อย่างแค่การจะใช้ระบบ POS หรือการจ่ายเงิน ถ้าของเราไม่ดี ไม่ทันสมัย เราก็เปลี่ยนได้เลย แต่ธุรกิจใหญ่ ๆ ถือเป็นเรื่องใหญ่เพราะระบบใหญ่กว่า
หรือตัวอย่างในแง่การตามเทรนตามกระแส เช่น กระแสศิลปิน ที่ผ่านมาอย่าง BNK48 ที่ถ้าเป็นแบรนด์ใหญ่คงต้องคิดแคมแปญให้ถี่ถ้วน เพราะจะมีเรื่องลิขสิทธิ์ การจ้างมา ต้นทุนที่แพง แต่แบรนด์เล็ก อาจทำแคมเปญ ง่าย ๆ อย่างแจกบัตรคอนเสิร์ต บัตรจับมือ ที่ไม่น่ามีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์อะไร ง่าย ๆ แต่ได้เทรน ทำนองนี้
สมมติว่าเป็นร้านในจังหวัดอยุธยา คุณสามารถซื้อการโปรโมทลงเพจอย่าง อยุธยา สเตชั่น ที่มีผู้ชมร่วม 2 แสนคน และส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่นในราคาเริ่มต้นเพียง 2-3 พันบาท ต้นทุนต่อการเห็นอาจไม่ถึงบาท (Cost Per Impression) ยิ่งโปรโมทเพิ่มไปด้วย (จ่ายเพิ่ม) ยิ่งถูกลง และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายแน่นอน นี่คือตัวอย่างหนึ่ง
การสร้างสื่อ หรือกระแสออนไลน์เอง ในยุคนี้อาจจะยาก เพราะต้นทุนสูงขึ้นทุกวัน แต่การใช้วิธีเกาะกลุ่ม หาสื่อที่ดี ที่มีอยู่แล้ว อาศัยลงโฆษณาไปเลย ไม่น่าจะลำบากนัก เปรียบแล้วก็เหมือนวิทยุท้องถิ่น นิตยสารท้องถิ่นสมัยก่อน ที่แค่สมัยนี้เปลี่ยนผันไปอยู่บนออนไลน์ แค่นั้นเอง
อีกเรื่องที่ขาดไม่ได้ เคยได้พูดไปใน Podcast ตอนหนึ่งว่า SEO การทำให้ติด google ยังคงเป็นสิ่งที่เรียกว่าต้นทุนไม่สูง อาจสูงบ้างสำหรับบางธุรกิจ แต่คุ้มค่าลงทุน เพราะครั้งเดียว อยู่นาน ได้ผลจริง และชิงพื้นที่แบรนด์ใหญ่ได้อยู่เหมือนกัน
นี่คือสิ่งคล้ายกัน เพียงแค่ต่างกันว่าแชร์กันกับธุรกิจคนอื่น หรือจะมีธุรกิจอื่นของตัวเองได้ก็ยิ่งดี โดยธุรกิจอื่นทั่วไปเราอาจทำไม่ได้ง่าย ๆ แต่การสร้างพันธมิตร ความร่วมมือ ผมเชื่อว่า ไม่น่ายากในธุรกิจเล็กเหมือนกัน เพราะทุกคนต่างได้ผลประโยชน์
เมื่อเขาได้เปรียบมากมาย แล้วเราจะไปแข่งขันทำไม ร่วมเข้าไปกับเขาเสียเลย!!
ข้อนี้อาจไม่ถูกใจ แต่อย่างที่ได้บอกไป ว่าเป็นเพียงแนวกลยุทธ์หนึ่ง จะเลือกใช้หรือไม่ก็ได้นะครับ
อีกประการคือไม่ว่าอย่างไร วันหนึ่งแบรนด์ใหญ่ก็อาจต้องลงมาเล่นในธุรกิจเดียวกับคุณ เว้นเสียแต่ว่าคุณเป็น Niche (ตลาดจำเพาะกลุ่ม) ที่มี Market size (ขนาดตลาด) ไม่มาก แบรนด์ใหญ่อาจไม่สนใจ ไม่คุ้มค่า แต่นั่นหมายความว่าคุณไม่ต้องการโต เพราะถ้าธุรกิจไหนโตย่อมมีแบรนด์ใหญ่ หรือบริษัทใหญ่ ลงมาด้วยแน่นอน
ยกตัวอย่าง สบู่สมุนไพร สบู่มะขาม คุณเคยได้ยินหรือใช้หรือไม่ แน่นอนว่า ก่อนหน้านี้ก็จะมีแต่แบรนด์เล็ก แต่เกิดความนิยม หรือโด่งดังก็แบรนด์อย่าง Bennett หรือสบู่ มะขามอิงอร ที่แม้จะเป็นแบรนด์เล็ก แต่ก็ไม่เล็ก มีการตลาด มีอะไรมากพอจะสู่แบรนด์ใหญ่(กว่า) ที่ภายหลังมาทำตลาดสบู่แนวนี้กันหลายราย แต่ก็เอาตัวรอดมาจนทุกวันนี้
สรุป แถมในท้ายนี้ ถ้าว่ากันจริง ๆ ในความเห็นผม ผมมองว่าจะวิธีการไหนก็ว่ากันไปตามสถานการณ์ และความเหมาะสม แต่เชื่อว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการตั้งใจมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกค้า และทำให้ได้นานที่สุดจนถึงตลอดไป แบรนด์อะไร บริษัทอะไรจะมาก็ไม่สำคัญ..
ที่มา : https://sirichaiwatt.com/บทความการตลาด/10-วิธีการรับมือ-หรือแข่งขันกับแบรนด์ใหญ่