"พันธบัตรออมทรัพย์" และ "พันธบัตรรัฐบาล" ซื้อแล้วได้อะไร??

"พันธบัตรออมทรัพย์" และ "พันธบัตรรัฐบาล" ซื้อแล้วได้อะไร??

"พันธบัตรออมทรัพย์" และ "พันธบัตรรัฐบาล" ซื้อแล้วได้อะไร แบบไหนเหมาะกับเรา



"พันธบัตรออมทรัพย์" และ "พันธบัตรรัฐบาล" กลับมาอยู่ในความสนใจของประชาชนคนไทยอีกครั้ง หลังรัฐบาลเปิดขาย "พันธบัตรออมไปด้วยกัน" รุ่นใหม่ล่าสุดที่จะเปิดให้จองซื้อผ่านแอพฯ "เป๋าตัง" 

แม้การลงทุนในพันธบัตรจะถือว่าเป็นการลงทุนที่ความเสี่ยงต่ำแต่ยังถือว่าเป็น "การลงทุน" มีความเสี่ยงบางอย่างที่ผุ้ลงทุนจำเป็นต้องศึกษาและทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง
สำหรับคนที่ยังลังเล หรืออยากลองเริ่มต้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลครั้งแรก เราจึงนำความรู้เกี่ยวกับพันธบัตร ทั้งในมิติของโอกาส ความเสี่ยง มาให้ทุกท่านได้ทราบ

พันธบัตรคืออะไร ? 

"พันธบัตร" หรือ "ตราสารหนี้รัฐบาล" เป็นตราสารหนี้ประเภทหนึ่งที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ โดยผู้ซื้อหรือนักลงทุนจะมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ ที่จะได้รับการชำระหนี้ และผลประโยชน์อื่นๆ เช่น ดอกเบี้ย จากลูกหนี้ คือ รัฐบาลหรือหน่วยงานที่ออกพันธบัตรนั้นๆ  

พันธบัตรรัฐบาล คือ โดยตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลเพื่อระดมทุนไปใช้ในการบริหารประเทศ ลดการขาดดุลทางการเงิน ฯลฯ
พันธบัตรออมทรัพย์ คือ การซื้อพันธบัตรเพื่อออมทรัพย์ ขายให้กับบุคคลทั่วไป และองค์กรไม่แสวงหากำไรในสังกัดของรัฐบาล

ซื้อพันธบัตรแล้วได้อะไร ? 

เมื่อลงทุนหรือซื้อพันธบัตรแล้ว ผู้ลงทุนจะมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของผู้ออกพันธบัตร หรือเจ้าหนี้ของรัฐบาล โดยมีโอกาสได้รับ "ดอกเบี้ย" "เงินปันผล" หรือผลประโยชน์อื่นๆ ตามที่ผู้ขายกำหนด
เช่น จะได้รับดอกเบี้ยเฉลี่ย X% มีการจ่ายดอกเบี้ยสม่ำเสมอ ทุกๆ X เดือน โดยผู้ลงทุนมีสิทธิ์ที่จะได้รับผลตอบแทนนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะครบอายุพันธบัตรที่ซื้อ และจะได้รับเงินต้นคืนทั้งหมด เมื่อถึงเวลาที่พันธบัตรกำหนด 

การลงทุนในพันธบัตรเหมาะกับใคร?

1.ผู้ที่ต้องการความแน่นอนในเรื่องผลตอบแทน ไม่ชอบความเสี่ยง
ยอมรับความเสียหายจากการลงทุนได้ไม่มาก และจำเป็นต้องมีเงินก้อนเพื่อการลงทุน รวมถึงเงินลงทุนก้อนนั้นต้องมีกำหนดระยะเวลาในการลงทุนสอดคล้องกับระยะเวลาของพันธบัตรด้วย
 

2.ผู้ที่ต้องการใช้ตราสารหนี้เพื่อการบริหารเงินลงทุน (Portfolio Management) ให้มีความปลอดภัยมากขึ้น
นอกเหนือจากการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้นสามัญ ที่ให้ผลตอบแทนสูงแล้ว นักลงทุนควรแบ่งเงินส่วนหนึ่งลงทุนในตราสารหนี้ด้วย เพื่อที่ตราสารหนี้จะก่อให้เกิดกระแสเงินรับที่สม่ำเสมอสำหรับใช้เป็นค่าใช้จ่ายประจำต่างๆ นอกจากนี้นักลงทุนก็จะได้รับเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนดไถ่ถอน การลงทุนในตราสารหนี้จึงเป็นการสร้างความสมดุลให้กับพอร์ตการลงทุน ทั้งนี้ นักลงทุนควรแบ่งเงินลงทุนในสัดส่วนเท่าใดเพื่อลงทุนในตราสารหนี้ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุของผู้ลงทุน ขนาดของรายได้ประจำเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายประจำ และที่สำคัญคือระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หากผู้ลงทุนอายุไม่มาก เพิ่งทำงานได้ไม่กี่ปี มีรายได้ประจำเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายประจำ และชอบความเสี่ยง ก็อาจแบ่งเงินลงทุนในตราสารหนี้ในสัดส่วนไม่สูงนัก 

 

จุดเด่นของพันธบัตร
  • ได้รับผลตอบแทนระยะยาวสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์ สำหรับพันธบัตรออมทรัพย์ที่รัฐบาลออกมา เช่น พันธบัตรออมไปด้วยกันรุ่นอายุ 5 ปี มีผลตอบแทนเฉลี่ย 2.1 % ต่อปี ซึ่งมากว่าดอกเบี้ยของการฝากเงินธรรมดาที่เฉลี่ย 0.25% ต่อปี เป็นต้น
  • ได้รับผลตอบแทนที่แน่นอน เนื่องจากพันธบัตรจะมีการระบุว่าจะให้ผลตอบแทนรูปแบบใด มีการจ่ายผลตอบแทนเมื่อไรก่อนให้นักลงทุนพิจารณาก่อนซื้อ
  • มีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ค่อนข้างต่ำ เนื่องจากรัฐเป็นลูกหนี้เอง แต่ผลตอบแทนก็ต่ำกว่าสินทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นเช่นกัน

 

ความเสี่ยงของพันธบัตร 
  • ด้านอัตราดอกเบี้ย : กรณีที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น ผู้ลงทุนจะไม่ได้ปรับดอกเบี้ยขึ้นตาม
  • ด้านสภาพคล่อง : พันธบัตรมีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน ทำให้สภาพคล่องต่ำกว่าเงินฝาก และจะได้เงินคืนครบต่อเมื่อถือจนครบเวลาที่กำหนด
  • ด้านสภาวะเงินเฟ้อ : กรณีที่ค่าเงินเฟ้อสูงขึ้นมากๆ ดอกเบี้ยจากพันธบัตรยังเท่าเดิม อาจไม่คุ้มค่ากับการลงทุน
  • ด้านราคา : กรณีนำพันธบัตรไปขายก่อนครบกำหนด อาจได้รับเงินคืนไม่เท่าเดิม ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ณ เวลานั้น เช่น อัตราดอกเบี้ย ณ เวลานั้นด้วย


    ช่องทางการซื้อขายพันธบัตร 

    ตลาดซื้อขายพันธบัตร แบ่งเป็น 2 ตลาดเช่นเดียวกับการลงทุนประเภทอื่น คือมีการซื้อขายในตลาดแรก (Primary Market) และในตลาดรอง (Secondary Market) ซึ่งมีความแตกต่างกัน ดังนี้

    1. ตลาดแรก คือ การซื้อขายพันธบัตรที่เปิดตัวครั้งแรก โดยเป็นการซื้อขายระหว่างสถาบันออกพันธบัตรกับนักลงทุน ราคาขายจะเป็นราคาหน้าพันธบัตร หรือราคาที่ต่ำกว่า
    2. ตลาดรอง คือ การซื้อขายพันธบัตรระหว่างนักลงทุนด้วยกันเองที่ไม่ได้ซื้อผ่านตลาดแรก หรือนักลงทุนที่ซื้อผ่านตลาดแรก แต่ต้องการขายพันธบัตรก่อนครบกำหนดสัญญา นักลงทุนต้องมาขายผ่านตลาดรอง การซื้อขายมีทั้งแบบซื้อขายแบบตกลงกันเอง และการซื้อขายในตลาดตราสารหนี้ (Bond Electronic Exchange, BEX) ซึ่งเป็นการซื้อขายผ่านโบรกเกอร์


      จะเห็นว่าการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะผู้ซื้อจะมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ ซึ่งจะได้ผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ และได้เงินต้นคืนเมื่อครบกำหนดอายุ ซึ่งหากผู้ลงทุนตัดสินใจลงทุนแล้ว อย่าลืม... “ติดตามผลการลงทุน” และ “ติดตามข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับการลงทุน” อย่างสม่ำเสมอ เพราะการที่ผู้ลงทุนมีข้อมูลที่ถูกต้อง น่าเชื่อถือ และทันต่อเหตุการณ์ จะทำให้สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนได้ทันท่วงที


    Cr : https://www.bangkokbiznews.com

     619
    ผู้เข้าชม

    สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์