ความเสี่ยงงานบัญชี มีวิธีรับมือได้อย่างไร ?

ความเสี่ยงงานบัญชี มีวิธีรับมือได้อย่างไร ?

ความเสี่ยงงานบัญชี มีวิธีรับมือได้อย่างไร ?



          การบริหารความเสี่ยงในงานบัญชีเป็นส่วนสำคัญของการจัดการธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน โดยมีขั้นตอนและมาตรการหลายอย่างที่สามารถนำมาใช้เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างความมั่นใจในการดำเนินธุรกิจได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ยังมีความสำคัญที่จะทราบถึงและเข้าใจกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการบัญชีและการรายงานทางการเงินเพื่อให้มั่นใจว่ากิจกรรมทางการเงินขององค์กรเป็นไปตามกฎหมาย


          ข้อคิดสำคัญอีกอย่างคือการสร้างและดำเนินนโยบายและกระบวนการที่ชัดเจนเพื่อจัดการกับความเสี่ยงในงานบัญชี ซึ่งอาจรวมถึงการทำการประเมินความเสี่ยงเบื้องต้นเพื่อระบุและประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในธุรกิจ การจัดทำแผนการดำเนินการเพื่อรับมือกับความเสี่ยง การกำหนดมาตรการควบคุมและการตรวจสอบความเสี่ยง เพื่อให้เกิดการรายงานและการติดตามผลลัพธ์เพื่อให้แน่ใจว่ามีการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสม

          การศึกษาเรื่องการบริหารความเสี่ยงในงานบัญชีและการรับรู้ถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานก็เป็นสิ่งสำคัญอีกด้านหนึ่ง การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น ระบบคอมพิวเตอร์แบบคลาวด์ (Cloud Computing) หรือระบบความปลอดภัยข้อมูล (Data Security) เป็นต้น สามารถช่วยให้งานบัญชีมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ในการดำเนินงานประจำวันของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและมั่นคง

ประเภทความเสี่ยงที่พบ ซึ่งประกอบไปด้วย

          1. ความเสี่ยงจากลักษณะธุรกิจ (Inherent Risk หรือ IR) หมายถึง ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นโดยประการธรรมชาติจากลักษณะเฉพาะของธุรกิจหรือกิจการ ซึ่งอาจมีการเกิดความเสี่ยงต่างๆ ในระดับต่างๆ ขององค์กร โดยไม่คำนึงถึงมาตรการควบคุมที่ถูกนำเข้ามาใช้ เพื่อลดความเสี่ยงนั้นให้ต่ำลง การทราบและเข้าใจความเสี่ยงจากลักษณะธุรกิจ (IR) เป็นสิ่งสำคัญในการวางแผนการบริหารความเสี่ยงเพื่อทำให้ธุรกิจมีประสิทธิภาพและมั่นคงในระยะยาว และบางธุรกิจอาจมี IR ที่สูงเนื่องจากลักษณะเฉพาะของธุรกิจนั้นๆ ทำให้เกิดความเสี่ยงสูงขึ้น ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลักๆ ดังนี้

                  1.1. ธุรกิจที่มีความซับซ้อนในกระบวนการ : ธุรกิจที่มีกระบวนการซับซ้อน เช่น การผลิตสินค้าที่มีกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน หรือบริการที่มีขั้นตอนมากมาย เช่น บริการที่เกี่ยวกับการเงินหรือการลงทุน อาจมี IR ที่สูงเนื่องจากความซับซ้อนของกระบวนการที่เพิ่มความเสี่ยงในการบัญชีและการควบคุมเงินทุน
                  1.2. ธุรกิจที่มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลง : ธุรกิจที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ หรืออุตสาหกรรมสื่อสารมวลชน อาจมี IR ที่สูง เนื่องจากต้องทำงานในสภาวะที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและต้องมีความยืดหยุ่นในการปรับตัวต่อสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
                  1.3. ธุรกิจที่มีความเสี่ยงในด้านกฎหมายและกฎระเบียบ : ธุรกิจที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบที่ซับซ้อน เช่น ธุรกิจที่มีการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล (GDPR) หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายการเงิน อาจมี IR ที่สูง เนื่องจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบอาจนำไปสู่ความเสี่ยงทางกฎหมายและการปรับตัวทางกฎหมาย

          2. ความเสี่ยงจากการควบคุม (Control Risk หรือ CR) หมายถึง ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นเนื่องจากข้อบกพร่องหรือความไม่เพียงพอในการดำเนินการควบคุมความเสี่ยงที่มีอยู่ภายในองค์กร ซึ่งอาจทำให้ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นจึงมีการยกตัวอย่างของความเสี่ยงจากการควบคุม 4 รูปแบบดังนี้


                  2.1. ข้อบกพร่องในกระบวนการ : การบกพร่องในกระบวนการหรือขั้นตอนการทำงานอาจทำให้เกิดความเสี่ยงที่ไม่ได้รับการควบคุม ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดพลาดหรือการทำงานที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานที่กำหนดไว้
                  2.2. ความไม่เพียงพอในการควบคุม : การสำรวจหรือการตรวจสอบที่ไม่สมบูรณ์หรือไม่เพียงพออาจทำให้ความเสี่ยงที่มีอยู่ไม่ได้รับการตรวจสอบหรือควบคุมอย่างเหมาะสม
                  2.3. ข้อบกพร่องในระบบสารสนเทศ : ระบบสารสนเทศที่ไม่เพียงพอหรือมีช่องโหว่ในเรื่องความปลอดภัยอาจทำให้เกิดความเสี่ยงที่เกี่ยวกับการเข้าถึงข้อมูลสำคัญหรือการละเมิดความเป็นส่วนตัว
                  2.4. ข้อบกพร่องในการกำหนดนโยบายและกระบวนการ : ข้อบกพร่องในการกำหนดนโยบายหรือกระบวนการที่ไม่ชัดเจนอาจทำให้การควบคุมไม่เพียงพอหรือไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยง

 382
ผู้เข้าชม

สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์