ค้าขายทางอินเตอร์เน็ทกับการเสียภาษีอย่างถูกต้อง

ค้าขายทางอินเตอร์เน็ทกับการเสียภาษีอย่างถูกต้อง





 

          ปัจจุบันหลายคนเริ่มหันมาค้าขายผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางเว็บไซต์ การค้าขายผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์ค เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ หรือแม้แต่อินสตาแกรม (Instagram) หลายคนสามารถสร้างรายได้ได้เดือนหนึ่งๆ หลายหมื่น หรือหลายแสนบาทกันเลยทีเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากๆ ที่คนไทยหันมาใช้เทคโนโลยีเป็นช่องทางสร้างรายได้ให้ตัวเอง หรือองค์กรมากขึ้น
  
แต่มีหลายคนยังไม่รู้ว่า "เมื่อไรก็ตามที่มีรายได้เกิดขึ้น ก็ต้องมีหน้าที่เสียภาษีให้รัฐ"  


ดังนั้น การขายสินค้าไม่ว่าจะเป็นช่องทางไหนๆ ก็ตาม ถือว่าคุณมีรายได้ เช่น คุณเปิดแผงร้านขายเสื้อในตลาดนัด, เปิดร้านขายของภายในห้าง หรือแม้แต่การเปิดเว็บไซต์ขายสินค้า หรือช่องทางอะไรก็ตามที่คุณสร้างรายได้ คุณมีหน้าที่ต้องเสียภาษี
  
การค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ทำแล้วต้องเสียภาษี จึงไม่ใช่เรื่องใหม่ เพียงแต่ว่าหลายคนยังไม่ทราบ และไม่เข้าใจกัน บางส่วนอาจเข้าใจผิดว่า กรมสรรพากรเองจะออกมาตรการการเก็บภาษีเฉพาะคนทำการค้าออนไลน์ขึ้นมา
 

    ผู้ค้าขายต้องเสียภาษีอะไรบ้าง

ผู้ที่ค้าขายไม่ว่าจะช่องทางไหน หรือผ่านช่องทางออนไลน์ต้องเสียภาษีภายใต้ประมวลกฎหมายรัษฎากรเหมือนธุรกิจอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น

1.ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล

2.ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งมีผลบังคับใช้กับทุกธุรกิจ รวมถึงการค้าขายผ่านออนไลน์ด้วย ดังนั้นเมื่อมีลูกค้าสั่งซื้อเข้ามาเจ้าของเว็บไซต์ต้องเสียภาษีเงินได้ และเมื่อสินค้าส่งออกไปให้ลูกค้า ลูกค้าที่สั่งซื้อก็ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย
 
         การเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ไม่ว่าจะประกอบกิจการในรูปของบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล หากมีรายรับจากการขายสินค้า หรือให้บริการเกินกว่า 1.8  ล้านบาทต่อปี คุณมีหน้าที่ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน โดยคำนวณภาษีที่ต้องเสียจากภาษีขาย หักด้วยภาษีซื้อ
 

ดังนั้น เมื่อขายสินค้า หรือบริการ คุณต้องแจ้งให้ลูกค้าทราบด้วยว่ามีภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ด้วย คุณจะรวมเข้าไป หรือแยกออกมาต่างหากก็แล้วแต่วิธีการของแต่ละคน และการซื้อขายสินค้าแต่ละครั้งจะออกใบกำกับภาษีให้ผู้ซื้อด้วย
 
ขณะที่ หากรายรับจากการขายสินค้า หรือบริการต่ำกว่า 1.8 ล้านต่อปี คุณก็ไม่ต้องไปยื่นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ทำให้คุณไม่ต้องไปคิดภาษีเพิ่มกับลูกค้านะครับ 

          หากคุณค้าขายและจัดส่งสินค้าไปให้ลูกค้าที่ต่างประเทศผ่านทางไปรษณีย์จะได้สิทธิไม่จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ถ้าผู้ประกอบการไม่มีหลักฐานการส่งสินค้าโดยเจ้าหน้าที่ศุลกากร จะไม่ได้สิทธิการไม่จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มและต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% แทน ดังนั้นหากผู้ประกอบการปฏิบัติตามขั้นตอนของการจัดส่งสินค้าไปต่างประเทศโดยผ่านพิธีการศุลกากรอย่างถูกวิธี สามารถลดต้นทุนจากการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มได้ 

  จะอย่างไรก็ต้องเสียภาษีเงินได้ 

หากท่านทำการค้าไม่ว่า จะช่องทางไหนก็ต้องมีหน้าที่ในการเสียภาษีเงินได้ แต่อาจจะแตกต่างกันระหว่างการเสียภาษีบุคคลธรรมดา (ชาวบ้านอย่างเราๆ) และภาษีนิติบุคคล (ในรูปแบบของบริษัท)
  

 

 

ที่มา : www.pattanakit.net

 746
ผู้เข้าชม

สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์