ออดิท ตรวจอะไรบ้าง? เรื่องน่ารู้วงการบัญชี

ออดิท ตรวจอะไรบ้าง? เรื่องน่ารู้วงการบัญชี

ออดิท ตรวจอะไรบ้าง? เรื่องน่ารู้วงการบัญชี



ในโลกของธุรกิจที่ต้องการความโปร่งใสและน่าเชื่อถือ การตรวจสอบบัญชีหรือที่เรียกว่า ออดิท นั้นเป็นสิ่งสำคัญมากๆ เพราะการตรวจสอบงบการเงินจะทำให้บริษัทนั้นมีความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นมาค่ะ แต่ในฐานะคนทำบัญชี ถ้าออดิทเข้าเมื่อไร เราก็มักจะวิตกกังวลจริงไหมคะ ว่าออดิทนั้นจะตรวจสอบอะไร ตรวจยังไง แล้วแบบไหนถึงเรียกว่าว่าถูกใจ

ในบทความนี้ จะพาทุกคนมาเจาะลึกในรายละเอียดของการตรวจสอบบัญชี และไขข้อสงสัยว่า ออดิท ตรวจอะไรบ้าง เผื่อไว้สำหรับเตรียมตัวเตรียมใจ ตอนออดิทเข้าทีไรจะได้ไม่หวั่นใจนะคะ ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลย

ก่อนอื่น เราไปดูกันก่อนว่า การตรวจสอบบัญชี หรือที่เรียกว่า ออดิท ไม่ใช่ว่ากำหนดกันขึ้นมาเองในวงการบัญชีนะคะ แต่ว่ามีกฎหมายกำหนดเอาไว้แบบนี้ค่ะ

  1. ข้อกฎหมายบังคับใช้การตรวจสอบบัญชี


พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 มาตรา 11 วรรค 4 กำหนดให้งบการเงินต้องได้รับการตรวจสอบและแสดงความเห็นโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต เว้นแต่ จะเป็นงบการเงินซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ที่มีทุนไม่เกิน 5 ล้านบาท และสินทรัพย์รวม ไม่เกิน 30 ล้านบาท และมีรายได้รวมไม่เกิน 30 ล้านบาท

พระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 มาตรา 38 ผู้ใดจะเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาตต้องได้รับใบอนุญาตจากสภาวิชาชีพบัญชี

พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 มาตรา 56 บริษัทที่ออกหลักทรัพย์ตามมาตรา 32 มาตรา 33 หรือมาตรา 34 จัดทำและส่งงบการเงินและรายงานเกี่ยวกับฐานะการเงิน และผลดำเนินงาน

(1) งบการเงินรายไตรมาสที่ผู้สอบบัญชีได้สอบทานแล้ว

(2) งบการเงินประจำงวดการบัญชีที่ผู้สอบบัญชีตรวจสอบและแสดงความเห็นแล้ว

(3) รายงานประจำปี

(4) รายงานการเปิดเผยข้อมูลอื่นใดเกี่ยวกับบริษัทตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต.ประกาศกำหนด

ตามกฎหมาย บริษัทต้องเลือกผู้สอบบัญชีที่มีความเป็นกลางและไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นธรรมและน่าเชื่อถือที่สุด

  1. ออดิท ตรวจอะไรบ้าง?


การตรวจสอบงบการเงินหรือออดิท (Audit) มีขั้นตอนหลักๆ ที่ผู้สอบบัญชีต้องปฏิบัติเพื่อให้มั่นใจว่างบการเงินของบริษัทเป็นไปตามมาตรฐานและเป็นความจริงตามข้อมูลทางการเงิน โดยมีขั้นตอนดังนี้

  1. วางแผนการตรวจสอบ

ในขั้นตอนแรกนี้ ผู้สอบบัญชีจะทำความเข้าใจธุรกิจและอุตสาหกรรมที่บริษัทดำเนินการอยู่ รวมถึงประเมินความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อการรายงานทางการเงิน จากนั้นจะวางแผนกระบวนการตรวจสอบเพื่อให้เหมาะสมกับขนาดและลักษณะของธุรกิจนั้นๆ

 

  1. การทดสอบระบบควบคุมภายใน (Test of control)

ผู้สอบบัญชีจะตรวจสอบระบบควบคุมภายในของบริษัท เช่น การควบคุมการใช้จ่าย การบันทึกบัญชี และการตรวจสอบการทำงาน เพื่อให้แน่ใจว่าระบบภายในมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงในการเกิดข้อผิดพลาดหรือการทุจริต

ตัวอย่างการควบคุมภายในที่ดี เช่น การจ่ายเงิน ต้องมีขั้นตอนการอนุมัติรับรอง การแบ่งแยกหน้าที่ และขั้นตอนการตรวจสอบอย่างชัดเจน ไม่ใช่ว่า เซนต์อย่างเดียว ไม่เหลียวมองความถูกต้องเลย แบบนี้ออดิทไม่ยอมนะคะ

  1. การตรวจสอบข้อมูลหลักฐาน (Substantive Testing)

ขั้นตอนนี้เป็นการทดสอบข้อมูลและหลักฐานทางการเงินโดยตรง เช่น ตรวจสอบยอดเงินสด ยอดลูกหนี้ และยอดเจ้าหนี้ การทดสอบนี้ทำเพื่อยืนยันว่า ข้อมูลในงบการเงินถูกต้องและสมบูรณ์

โดยปกติแล้วออดิทจะเลือกรายการค้าต่างๆ ขึ้นมาตรวจสอบ จากนั้นจะขอเอกสารจากผู้ทำบัญชี ยกตัวอย่างเช่น หากเป็นการขายสินค้า ออดิทจะขอข้อมูลตั้งแต่การเปิดบิลขาย ใบส่งของ ใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จรับเงิน และยอดเงินเข้าในบัญชีธนาคาร เป็นต้น ซึ่งจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับการคำนวณตัวอย่างที่เลือก และวิธีการตรวจสอบที่ถูกออกแบบมาค่ะ

  1. การวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน (Analytical Procedures)

นอกจากจะตรวจสอบเอกสารหลักฐานแล้ว ผู้สอบบัญชีจะวิเคราะห์แนวโน้มของข้อมูลทางการเงิน เช่น รายได้ กำไร ขาดทุน และอื่นๆ เพื่อหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น และเพื่อให้เห็นภาพรวมของสภาพการเงินของบริษัท

ยกตัวอย่างเช่น ปีนี้กำไรขั้นต้นลดลง สาเหตุเกิดจากอะไรทั้งๆ ที่กิจการไม่ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการตั้งราคา หรือว่าโครงสร้างต้นทุนสินค้าไม่ได้เปลี่ยนแปลง

  1. การสรุปผลและจัดทำรายงาน

เมื่อการตรวจสอบทั้งหมดเสร็จสิ้น ผู้สอบบัญชีจะสรุปผลการตรวจสอบและจัดทำหน้ารายงานผู้สอบบัญชี ซึ่งระบุถึงสถานะของงบการเงิน ว่าได้มาตรฐานและมีความถูกต้องเพียงใด รวมถึงข้อสังเกตต่าง ๆ ที่ควรแจ้งให้ผู้มีส่วนได้เสียทราบ

 

  1. หน้ารายงานผู้สอบบัญชี

ในรายงานตรวจสอบ ผู้สอบบัญชีจะแสดงความเห็นเกี่ยวกับงบการเงินว่ามีความถูกต้องครบถ้วนตามมาตรฐานบัญชีหรือไม่ ซึ่งสามารถแสดงความเห็นได้ 4 รูปแบบ คือ

แบบที่ 1 ไม่มีเงื่อนไข หมายถึง งบการเงินถูกต้องสมบูรณ์ ผู้ตรวจสอบบัญชี ไม่พบข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงอย่างมีสาระสำคัญ

แบบที่ 2 มีเงื่อนไข หมายถึง มีข้อจำกัดบางประการแต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของงบการเงิน มีลักษณะเหตุการณ์ทำให้การแสดงความเห็นของงบการเงินเปลี่ยนแปลง เช่น งบแสดงข้อมูลข้อต่อข้อเท็จจริง นโยบายไม่เหมาะสม นำนโยบายไปใช้ผิด เปิดเผยข้อมูลไม่เหมาะสมไม่เพียงพอ

แบบที่ 3 งบการเงินไม่ถูกต้อง หมายถึง มีลักษณะเหตุการณ์ทำให้การแสดงความเห็นของงบการเงินเปลี่ยนแปลง เช่นงบแสดงข้อมูลข้อต่อข้อเท็จจริง แต่ว่าต่างจากมีเงื่อนไขคือ ผลกระทบของการตรวจสอบที่เกิดขึ้น แผ่กระจายไปทั่วงบการเงินเลยค่ะ

แบบที่ 4 ไม่แสดงความเห็น หมายถึง ไม่แสดงความเห็นต่องบการเงิน หมายถึง มีลักษณะเหตุการณ์ ไม่สามารถหาหลักฐานที่เหมาะสมอย่างเพียงพอเพื่อการตรวจสอบได้

  1. ประโยชน์ของการมี Auditor

การตรวจสอบบัญชีช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ถือหุ้น นักลงทุน และผู้มีส่วนได้เสียรายอื่น ๆ ว่าข้อมูลทางการเงินที่บริษัทเปิดเผยนั้นเป็นความจริง ถูกต้อง และเป็นไปตามมาตรฐานทางบัญชี สิ่งนี้ช่วยลดโอกาสที่จะเกิดการทุจริตและข้อผิดพลาดในกระบวนการทำงานภายในบริษัท

และที่สำคัญสุดๆ นักบัญชีเองก็จะได้ความรู้เพิ่มเติมในอีกมุมมองนึกจากบุคคลภายนอกด้วยนะ ว่าเราทำงานแบบนี้ถูกต้องหรือไม่ ควบคุมภายในดีหรือเปล่า มีอะไรต้องปรับปรุงแก้ไขหรือไม่ เหมือนกับการวัดเกรดตัวเองด้วยเช่นเดียวกันค่ะ

Cr. blog.cpdacademy.co 

 5
ผู้เข้าชม

สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์