เงินภาษีคืนได้! เจาะลึกวิธีขอคืน VAT ที่ผู้ประกอบการต้องรู้

เงินภาษีคืนได้! เจาะลึกวิธีขอคืน VAT ที่ผู้ประกอบการต้องรู้

เงินภาษีคืนได้! เจาะลึกวิธีขอคืน VAT ที่ผู้ประกอบการต้องรู้



หลายคนอาจไม่รู้ว่า “ภาษีมูลค่าเพิ่ม” (VAT) ที่เราจ่ายออกไปทุกครั้งในการทำธุรกิจนั้น สามารถขอคืนได้ในบางกรณี ซึ่งถือเป็นสิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม เพราะการขอคืน VAT อย่างถูกต้องสามารถช่วยให้ธุรกิจมีเงินหมุนเวียนเพิ่มขึ้น ลดภาระต้นทุน และสร้างโอกาสในการขยายกิจการได้มากขึ้น

แต่การขอคืนภาษีไม่ใช่เรื่องง่าย หากไม่มีความรู้หรือเตรียมเอกสารให้ถูกต้องตามข้อกำหนดของกรมสรรพากร อาจนำไปสู่ความล่าช้า หรือถูกปฏิเสธคำขอได้

การเตรียมเอกสารรวมถึงขั้นตอนการขอคืน VAT อย่างถูกต้อง

  1. ตรวจสอบยอดภาษีซื้อและภาษีขาย

ในการยื่นแบบ ภ.พ.30 แต่ละเดือน ผู้ประกอบการต้องระบุยอดภาษีซื้อ (Input VAT) และภาษีขาย (Output VAT) อย่างชัดเจน หากพบว่าภาษีซื้อมากกว่า ก็สามารถเลือก "ขอคืน" ได้

 

  1. ยื่นคำขอในแบบ ภ.พ.30

ในแบบฟอร์ม ภ.พ.30 จะมีตัวเลือกให้ “ขอคืน” หรือ “ยกยอดไปหักในเดือนถัดไป” หากเลือก “ขอคืน” ต้องเตรียมเอกสารเพิ่มเติม และต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบจากสรรพากร

 

  1. เตรียมเอกสารประกอบการขอคืน เอกสารหลักที่ต้องใช้ ได้แก่
  • ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบที่ถูกต้องตามกฎหมาย
  • รายงานภาษีซื้อและภาษีขายประจำเดือน
  • หลักฐานการชำระเงิน เช่น สำเนาเช็คหรือหลักฐานโอนเงิน
  • สัญญาซื้อขายหรือใบเสนอราคา (ถ้ามี)
  • หนังสือมอบอำนาจ (กรณีมอบอำนาจให้ผู้อื่นดำเนินการแทน)
  • หากเป็นกิจการส่งออกอาจต้องมีเอกสารเพิ่มเติม เช่น บัญชีส่งของออกนอกประเทศ (Shipping Bill) เอกสารจากกรมศุลกากร

 

  1. ยื่นคำขอผ่านช่องทางที่กรมสรรพากรกำหนด ปัจจุบันสามารถยื่นคำขอคืนภาษีได้ 2 ช่องทาง คือ
  • ยื่นออนไลน์ผ่านระบบ E-FILING ของกรมสรรพากร ภายในวันที่ 23 ของเดือนถัดไป (ขยายเวลาการยื่นแบบ ภ.พ.30 ผ่านอินเทอร์เน็ต ถึงวันที่ 31 มกราคม 2570)
  • *ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบ แสดงรายการและชำระภาษีผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (ฉบับที่ 8) ลงวันที่ 1 มีนาคม 2567
  • ยื่นที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ โดยให้ยื่นคำร้องแยกตามแต่ละสถานประกอบการ เว้นแต่จะได้รับอนุมัติให้ยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีมูลค่าเพิ่มแบบรวมเป็นรายเดียวกัน


ในกรณีการขอคืนภาษีด้วยแบบ ภ.พ.30 ให้ยื่นคำร้อง ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาที่สถานประกอบการตั้งอยู่ หรือ ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาที่ได้รับอนุมัติให้ยื่นแบบรวมได้ **โดยแบบแสดงรายการภาษี (ฉบับปกติ) ต้องยื่นภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป

ในกรณีการขอคืนภาษีด้วยแบบ ค.10 ให้ยื่นคำร้องที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ซึ่งสถานประกอบการตั้งอยู่ หรือที่กองบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ (เฉพาะกรณีที่กิจการอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกองบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้น) (ข้อมูลจากกรมสรรพากร)

  1. ตรวจสอบสถานะการขอคืน VAT

หลังจากยื่นคำขอแล้วสามารถตรวจสอบสถานะผ่านระบบออนไลน์ของกรมสรรพากร หรือสอบถามที่สำนักงานที่ยื่นคำขอ โดยปกติจะใช้เวลาพิจารณาแล้วแต่กรณี หากพบว่าขาดเอกสารหรือข้อมูลไม่ครบ อาจถูกแจ้งให้ชี้แจงเพิ่มเติม

  1. กรณียื่นคำขอไม่ผ่าน ต้องทำการยื่นอุทธรณ์

หากผลการตรวจสอบพบข้อผิดพลาด หรือหากผู้ประกอบการไม่เห็นด้วยกับผลการคืนภาษี สามารถยื่นคำร้องอุทธรณ์โดยใช้แบบฟอร์มคำอุทธรณ์ (ภ.ส.6) ภายในระยะเวลาที่กำหนด ดังนี้

 

6.1 ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งคืนภาษี (ค.20) หรือหนังสือแจ้งไม่คืนเงินภาษีอากร (ค.30)

 

6.2 ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.72/ ภ.พ.72.1) หรือหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.72/ ภ.พ.73.1)

 

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและควรหลีกเลี่ยง

  1. ใช้ใบกำกับภาษีที่ไม่ถูกต้อง เช่น ขาดชื่อ-ที่อยู่ผู้ขาย/ผู้ซื้อ หรือไม่มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี ถือว่าเป็นเอกสารไม่สมบูรณ์ ทำให้ไม่สามารถใช้ขอคืนได้

 

  1. การรวมภาษีซื้อที่ไม่ได้เกิดจากการใช้เพื่อประกอบกิจการ เช่น ค่ารับรองลูกค้า หรือค่าใช้จ่ายส่วนตัวของกรรมการ ซึ่งไม่สามารถนำมาขอคืนได้

 

  1. ยื่นเอกสารไม่ครบตามกำหนด ข้อผิดพลาดนี้อาจทำให้การพิจารณาล่าช้า หรือถูกปฏิเสธการคืนภาษีโดยสิ้นเชิง

 

  1. ไม่จัดเก็บเอกสารย้อนหลังให้พร้อมตรวจสอบ เอกสารทั้งหมดต้องเก็บไว้อย่างน้อย 5 ปี เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ในกรณีที่สรรพากรต้องการตรวจสอบ

 

เคล็ดลับเพื่อการขอคืน VAT ที่มีประสิทธิภาพ

  • วางแผนทางบัญชีตั้งแต่ต้นปี เพื่อให้รู้ว่าควรลงทุนหรือบริหารต้นทุนในช่วงใดจึงจะสามารถขอคืน VAT ได้มากที่สุด
  • เลือกใช้ระบบบัญชีที่รองรับภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น โปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่สามารถออกใบกำกับภาษีและรายงานภาษีได้อัตโนมัติ
  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางภาษี หากธุรกิจมีโครงสร้างซับซ้อน หรือมีธุรกรรมระหว่างประเทศ คำแนะนำจากนักบัญชีภาษีจะช่วยลดความเสี่ยงได้มาก
  • ติดตามข่าวสารจากกรมสรรพากร อย่างสม่ำเสมอ เพราะระเบียบหรือแนวปฏิบัติอาจมีการเปลี่ยนแปลง


สรุป
การขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็นหนึ่งในสิทธิของผู้ประกอบการที่สามารถช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่กระบวนการดังกล่าวต้องอาศัยความรู้ ความรอบคอบ และการจัดเตรียมเอกสารที่ถูกต้อง หากเข้าใจขั้นตอนอย่างครบถ้วน และวางแผนภาษีได้อย่างเป็นระบบ ผู้ประกอบการจะสามารถใช้สิทธินี้ได้อย่างเต็มที่ สามารถลดต้นทุน เพิ่มเงินทุนหมุนเวียน และสร้างโอกาสในการขยายกิจการได้อย่างมั่นคงอีกด้วย

Cr. www.bangkokbiznews.com 

 14
ผู้เข้าชม

สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์